เข้าสู่โลกของพนันออนไลน์ Coingame777 เว็บคาสิโนน่าเล่นที่สุดในตอนนี้

แกรม พ็อตเตอร์ กุนซือ เชลซี ระบุ ตนถึงขั้นได้รับอีเมล์ที่สาปแช่งให้ตนและลูกตาย พร้อมยืนยันว่าต้องการประสบความสำเร็จกับทีม

แกรม พ็อตเตอร์ ผู้จัดการทีม เชลซี สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปิดเผยว่าช่วงที่ผ่านมาตนเคยได้รับอีเมล์ที่มีข้อความเชิงสาปแช่งทั้งตนและลูกๆ ภายหลังเขาพาทีมทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

พ็อตเตอร์ เข้ามากุมบังเหียน เชลซี เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากออกสตาร์ได้ดีในระดับหนึ่ง ทีมของเขาก็เริ่มมีผลงานที่เลวร้ายอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 10 เกมหลังสุดจากทุกรายการนั้น "สิงโตน้ำเงินคราม" เก็บชัยชนะได้แค่เกมเดียวด้วย

กุนซือชาวอังกฤษเผยว่า "เวลาคุณถามผมว่า -มันยากรึเปล่า ? มันลำบากไหม ? การได้ยินคำพูดบางอย่างมันให้ความรู้สึกที่ดีรึเปล่า ?- แล้วน่ะ ถึงแม้ผมจะได้รับการสนับสนุนเยอะมาก แต่ในขณะเดียวกันผมก็ได้รับอีเมล์ที่ไม่ดีเท่าไหร่บางอันด้วย เพราะมันมีข้อความในเชิงที่ว่าอยากให้ผมตายหรือไม่ก็อยากให้ลูกๆ ของผมตาย ซึ่งแน่นอนว่าการได้รับอีเมล์แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก"

"ถ้าคุณถามว่ามันเป็นยังไงหลังจากผ่านไป 4 เดือนที่เจอกับความกดดันอย่างมาก และ 4 เดือนที่ต้องเจอแรงกดดันจากการที่พวกคุณต้องนำเสนอข่าวต่างๆ เพื่อขายข่าวแล้วน่ะ คุณจะคาดหวังผลลัพธ์เป็นอะไรได้อีก ? ถ้าเราได้ผลการแข่งขันที่ไม่ดีมันก็แน่นอนว่าต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ฟุตบอลมันก็เป็นแบบนี้แหละ"

พ็อตเตอร์ ยืนยันด้วยว่าตนต้องการประสบความสำเร็จกับทีม หลังจากมีบางคนมองว่าเขาไม่แคร์ไม่ว่าผลงานจะเป็นยังไงก็ตาม "มันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ถ้าคุณไปทำงานแล้วมีคนด่าคุณ หรือมีคนบอกว่าคุณเป้นคนที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแล้วน่ะมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก คุณจะบอกว่า -โอ้ ผมไม่แคร์หรอก- ก็ได้ แต่ถ้าผมพูดแบบนั้นคุณก็คงจะรู้ในทันทีว่าผมโกหก เพราะทุกคนน่ะแคร์กับความคิดของคนอื่นอยู่แล้ว เราทุกคนต่างก็มีความเกี่ยวข้องทางสังคมกัน"

"ผมอยากประสบความสำเร็จกับที่นี่ การบอกว่าผมไม่สนใจเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องที่เหลวไหล หลายคนมีความคิดว่าผมไม่สนอกสนใจเรื่องนั้น ซึ่งผมก็สงสัยว่าอะไรทำให้พวกเขาคิดแบบนั้น ? พวกเขารู้ได้ยังไงว่าผมเป็นแบบนั้น ? ถ้าคุณไปถามครอบครัวของผมว่าชีวิตของผมกับพวกเขาเป็นยังไงแล้วล่ะก็ มันก็ต้องบอกเลยว่ามันไม่ดีเท่าไหร่นัก"

แอนดี้ โคล อดีตหัวหอกทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ออกปากชี้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ กาเซมีโร่ ไม่ดีพอที่จะอยู่ในโผ 11 คนแรกของทีม ผีแดง ชุดคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ปี 1999

โคล อดีตกองหน้าทีมชาติ อังกฤษ ยอมรับว่า แรชฟอร์ด กับ กาเซมีโร่ กลายเป็นกำลังหลักของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดปัจจุบันไปแล้วโดยกุนซือ เอริค เทน ฮาก สามารถสร้างทีมขึ้นมาได้อย่างน่ายกย่องถึงขนาดมีลุ้นคว้าแชมป์ครบทั้งสี่รายการในซีซั่นแรกที่เขาย้ายมารับงานกับทีมดังในลีกอิงลิช

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในซีซั่นนี้ แรชฟอร์ด ดาวยิงทีม สิงโตคำราม ระเบิดฟอร์มได้อย่างน่าฮือฮาโดยถึงขณะนี้เขากระหน่ำไปแล้ว 24 ประตูในทุกรายการพาทีมคว้าผลลัพธ์ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ กาเซมีโร่ มิดฟิลด์ทีมชาติ บราซิล ย้ายจาก เรอัล มาดริด มาคุมเกมในแดนกลางให้ ผีแดง ได้อย่างเหนือชั้น

กระนั้นก็ดี โคล ยืนยันว่าทั้งสองยังไม่สามารถแทรกเข้าไปเล่นเป็นตัวจริงให้กับทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดประวัติศาสตร์ได้

"ผมเห็นด้วยกับ ดไวท์ ยอร์ค ฟอร์มในปัจจุบันของ มาร์คัส แรชฟอร์ด จะไม่ทำให้เขาติดอยู่ในทีม 11 คนแรกชุดทริปเปิ้ลแชมป์ และบางทีอาจมีชื่อเป็นตัวสำรอง" โคล เอ่ยเมื่อ 22 ก.พ.

"เขาจะได้เล่นก่อนหน้า ไรอัน กิ๊กส์ หรือ เดวิด เบ็คแฮม หรือ? แม้จะมีฟอร์มที่ร้อนแรงก็ต้องบอกว่าโชคร้ายที่มันจะไม่ใช่ หากคุณถอด กิ๊กส์ หรือ เบ็คแฮม ออกไป แรชฟอร์ด ก็อาจอยู่ในทีมได้ แต่ทีมของเรามีคุณภาพสูง แน่นอนว่า แรชฟอร์ด จะไม่ได้อยู่ในทีมทริปเปิ้ลแชมป์"

"กาเซมีโร่ ก็ไม่มีทางได้เล่นก่อนหน้า รอย คีน , พอล สโคลส์ และ นิคกี้ บัตต์ กาเซมีโร่ เป็นนักเตะที่วิเศษ แต่ผมจะให้เขาเล่นก่อน คีน หรือ สโคลส์ หรือเปล่า? ไม่ เขาจะนั่งข้างสนาม"

"เขาทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด พัฒนาไปมากนับตั้งแต่เขาย้ายมา และผมชอบเขามาก"

คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือ เรอัล มาดริด เตือนลูกทีมว่าเกมกับ ลิเวอร์พูล ในยูซีแอลนั้นยังไม่จบแม้พวกเขาจะเอาชนะในนัดแรกขาดลอย พร้อมชื่นชมผลงานของ วินิซิอุส จูเนียร์

โดย เรอัล มาดริด กุมความได้เปรียบอย่างมากในฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2022-23 รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก หลังบุกเอาชนะ ลิเวอร์พูล ถึงสนาม แอนฟิลด์ 5-2 เมื่อวันที่ 21 ก.พ. แม้จะโดนออกนำไปก่อน 0-2 จาก ดาร์วิน นูนเญซ นาทีที่ 4 และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ นาที 14

ทว่าพวกเขากลับมารัวยิง 5 ประตูรวดจาก วินิซิอุส จูเนียร์ นาทีที่ 21 และ36, เอแดร์ มิลิเตา นาที 47 และคาริม เบนเซมา นาที 55 และ67 ก่อนจะไปเล่นในเกมเลกสองที่บ้าน "ราชันชุดขาว" วันที่ 15 มี.ค.นี้



หลังการแข่งขัน อันเชล็อตติ ให้สัมภาษณ์เตือนลูกทีมว่าเกมกับ ลิเวอร์พูล นั้นยังไม่จบแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ พร้อมยกฟอร์มของ วินิซิอุส "แน่นอนว่าเราไม่ได้คาดหวังว่าจะออกสตาร์ทเหมือนที่เราเคยทำ แต่ตอนที่ตามหลัง 2-0 ผมคิดถึงเกมเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปีที่แล้วด้วยความหวังว่าเราจะทำได้เหมือนกัน แต่มันกลับดีกว่า"

"ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมซึ่งทำให้เราต้องเจอปัญหาในครึ่งแรก ดังนั้นผมจะบอกว่าโชคไม่ดีที่เกมนี้ยังไม่จบ ไม่มีทาง นี่เป็นเพียงส่วนแรกของการเสมอกันแบบน็อกเอาต์ มันเข้าทางเราแล้ว แต่เราต้องจินตนาการว่าในเลกที่สอง เราจะต้องทนทุกข์ และทำงานอย่างหนัก"

"การชนะแบบนี้ไม่ง่ายเลย เหนือสิ่งอื่นใดเพราะการแข่งขันเริ่มขึ้น เราไม่เคยสูญเสียความมั่นใจ และค่อยๆ ควบคุมบอลได้ เรามีประสิทธิภาพในแดนหน้า และวินิซิอุส จูเนียร์ สร้างผลงานที่น่าทึ่ง"

โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ จรดปากกาต่อสัญญา อาร์เซน่อล ออกไปอีกหนึ่งปีเรียบร้อย พร้อมประกาศลั่นขอทุ่มเททุกอย่างช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จ

อาร์เซน่อล จ่าฝูง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศยืนยันจับ โมฮาเหม็ด เอลเนนี่ กองกลางประสบการณ์สูงทีมชาติอียิปต์ ต่อสัญญาค้าแข้งในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ออกไปจนถึงเดือนมิถุนายน ปี 2024 อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์

เอลเนนี่ เป็นหนึ่งในนักเตะที่อยู่กับ "ปืนใหญ่" มาอย่างยาวนาน และได้รับความเคารพอย่างมากภายในทีม หลังย้ายจาก เอฟซี บาเซิ่ล มาอยู่กับ อาร์เซน่อล ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2016 โดยถึงเวลานี้ลงเล่นไปแล้ว 155 นัดในทุกรายการ ทำได้ 6 ประตู และ 10 แอสซิสต์

มิดฟิลด์วัย 30 ปี เผยหลังจรดปากกาต่อสัญญาว่า "ผมมีความสุขมาก ผมรักสโมสรแห่งนี้ และแฟนบอลของเราอย่างมาก ผมจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้เราดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุกๆ วันที่ผมอยู่ที่นี่"

ส่วนเรื่องที่เป็นนักเตะ "ปืนใหญ่" ชุดนี้ที่รับใช้ทีมมายาวนานสุดนั้น เอลเนนี่ กล่าวว่า "มันทำให้ผมภูมิใจมากที่ได้เป็นตัวแทนของสโมสรที่น่าทึ่งแห่งนี้มาตั้งแต่ปี 2016 สปิริตและความสามัคคีที่เรามีในทีมตอนนี้ดีมาก และผมก็มีความสุขมากที่ได้ต่อสัญญา"

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ชี้ชัดว่าเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกไปแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ. แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของทั้งสองทีมในแง่ความเด็ดขาดในจังหวะคลำเป้า

ร็อดเจอร์ส พาทีม เดอะ ฟ็อกซ์ บุกมาสร้างปัญหาให้กับ ผีแดง ได้หลายหนในช่วงต้นเกม แต่ไม่อาจคว้าโอกาสทองที่มีได้ และสุดท้ายก็เสียท่าให้กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด สอยเม็ดแรกให้ทีมเจ้าบ้านนำหน้าก่อนซึ่งส่งผลให้เกมของ จิ้งจอกสยาม ทรุดลงนับจากนั้น

"เราเริ่มเกมได้ดี เราแลดูมีความอันตรายในจังหวะสุดท้าย เรามีโอกาส แต่เราคว้าเอาไว้ไม่ได้ พวกเขามีโอกาสหนเดียว และได้ประตู มันคือข้อแตกต่างของความเด็ดขาด" บีร็อด ให้สัมภาษณ์

"เราเล่นได้ดีในครึ่งแรก แต่น่าผิดหวังที่เราเสียประตู เราคอนโทรลเกมได้ แต่เราทำบอลเสียง่ายๆ และมันทำให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้ประตู เราสร้างโอกาสไม่ได้ในครึ่งหลัง เราครองบอลไม่ได้ เราผ่านบอลไม่ดีพอ และจากนั้นพวกเขาก็ได้ประตูที่สอง"

"เราแสดงให้เห็นว่าเรายิงประตูได้ และสร้างโอกาสจากแดนหลังได้ในสองเกมที่ผ่านมา วันนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น หากเราคว้าโอกาสได้ในครึ่งแรก มันก็จะเป็นเกมที่แตกต่างไป"

"ครึ่งหลังเราผิดหวัง เราเสียเพิ่มอีกสองประตูแบบง่ายๆ สำหรับประตูที่สาม เราน่าจะครองบอลให้ดีกว่านั้น เราน่าจะเล่นง่ายๆแทนที่จะผ่านบอลโดยไม่จำเป็น ดังนั้นมันจึงน่าหงุดหงิด"

"เราได้หกแต้มจากเก้าแต้มในสามนัด ตอนนี้เราจะกลับไปเล่นในบ้าน และเรามีเกมหนักกับ อาร์เซน่อล แต่แฟนบอลจะช่วยเรา เราต้องเตรียมความพร้อม หวังว่ามันจะเป็นอีกเกมที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา"

ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน สองทีมร่วมเมืองของ พรีเมียร์ลีกขหนีไม่พ้นโดน สมาคมฟุตบอล (เอฟเอ) ประกาศตั้งข้อหาแล้วจากเหตุวุ่นวายนักเตะกรูเข้าหากันระหว่างเกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา

ลิเวอร์พูล กลับคืนสู่เส้นทางแห่งชัยชนะได้อีกหนตามความคาดหมายเมื่อเปิดบ้านเผด็จศึก เอฟเวอร์ตัน ทีมจอมแจกแต้มร่วมเมืองได้ไม่ยาก 2-0 แต่ก่อนจบเกมไม่นานมีเหตุการณ์นักเตะของทั้งสองฝ่ายกรูเข้ามาระเบิดอารมณ์ใส่กัน

ต่อจังหวะดังกล่าวในนาทีที่ 86 ซึ่ง จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารทีมเยือนโวยใส่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แบ็คซ้ายเจ้าบ้านที่เล่นต่อทั้งๆที่ผู้ตัดสินเป่าฟาวล์ไปแล้วนั้น คอเนอร์ โคดี้ กองหลัง ท๊อฟฟี่สีน้ำเงิน ตามมาคว้าคอดาวเตะทีมชาติ สกอตแลนด์ จนทำให้เรื่องราวลุกลามมีการกรูกันเข้ามาของนักเตะทั้งสองทีม

อย่างไรก็ดี แม้เหตุการณ์จะยุติลงโดยไม่มีเหตุรุนแรงหลังจากผู้ตัดสินแจกใบเหลืองให้กับ พิคฟอร์ด และ โรเบิร์ตสัน แต่ล่าสุดเมื่อ 16 ก.พ. เอฟเอ ประกาศตั้งข้อหาทั้งสองทีมตามระเบียบโทษฐานไม่อาจคุมความประพฤติของนักเตะให้อยู่ในกรอบได้โดยต่างก็ได้รับเวลาจนถึงวันที่ 20 ก.พ. ต่อการตัดสินใจยอมรับหรือปฏิเสธ

อาร์เซน่อล จ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ได้รับข่าวไม่เป็นมงคลเข้าให้แล้วเมื่อ โธมัส ปาร์เตย์ มิดฟิลด์คนสำคัญมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนจนทำให้ต้องพลาดฟาดแข้งกับ แมนฯ ซิตี้ ในเกมสำคัญคืนวันพุธนี้

อาร์เซน่อล เตรียมเปิดบ้านปะทะกับ แมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่าโดยหวังเสมอกับทีมเยือนเป็นอย่างน้อยเพื่อรักษาช่องว่างนำหน้าห้าแต้มต่อไป และยังมีเกมตุนอยู่อีกนัด

อย่างไรก็ดี ก่อนลงสนามเพียงไม่กี่ชั่วโมง มีรายงานแจ้งว่า ปาร์เตย์ เจ็บกล้ามเนื้อ และลงเล่นกับ เรือใบสีฟ้า ไม่ได้อย่างแน่นอนแล้วซึ่งถือเป็นข่าวร้ายของ เดอะ กันเนอร์ส เนื่องจากดาวเตะทีมชาติ กาน่า มีผลงานร่วมบู๊กับ กรานิต ชากา ได้อย่างแข็งแกร่ง

ดิ แอธเลติก ระบุว่าในการซ้อมเมื่อวันอังคาร ปาร์เตย์ วัย 29 ปีร่วมซ้อมกับพรรคพวกได้ตามปกติจนดูเหมือนว่าเขาจะลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงให้กับสโมสรได้แน่ กระทั่งล่าสุดก่อนเกมไม่นานมีการยืนยันว่าดาวเตะแอฟริกาซึ่งมีปัญหาล้มเจ็บบ่อยครั้งนับตั้งแต่ย้ายมาค้าแข้งกับ เดอะ กันเนอร์ส มีอันต้องร้างสนามอีกหนจนได้แม้เชื่อว่าเขาไม่ได้เจ็บหนัก และอาจทำให้ จอร์จินโญ่ ที่ย้ายมาจาก เชลซี ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเกมแรกให้กับทีมของกุนซือ มิเกล อาร์เตต้า

ไม่มีโอกาสไหนดีกว่านี้อีกแล้ว... อาร์แซน เวนเกอร์ ตำนานกุนซือ อาร์เซน่อล กำชับ "เดอะ กันเนอร์ส" ซีซั่นนี้ต้องแชมป์ พรีเมียร์ลีก เท่านั้น ชี้ซีซั่นหน้าสถานการณ์อาจไม่เอื้อให้แบบนี้

อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตยอดผู้จัดการทีม อาร์เซน่อล เชื่อว่า ฤดูกาลนี้ "ไอ้ปืนใหญ่" มีโอกาสดีมากๆ ที่จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก และไม่ควรพลาดโอกาสทองนี้อย่างเด็ดขาด

อาร์เซน่อล ไม่ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก มานานถึง 19 ปี หรือนับตั้งแต่ตอนได้แชมป์แบบไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2003/04 ทว่าฤดูกาลนี้พลพรรค "เดอะ กันเนอร์ส" ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเกินคาด และปัจจุบันรั้งตำแหน่งจ่าฝูง ด้วยการมี 51 คะแนน จากการลงแข่ง 21 นัด นำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมแชมป์เก่า ที่รั้งอันดับสอง และแข่งมากกว่า 1 นัด อยู่ 3 แต้ม

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ อาร์เซน่อล เริ่มสะดุดและเก็บได้แค่คะแนนเดียว จากสองเกมหลังสุด ทำให้หลายคนเริ่มมองถึงโอกาสที่ อาร์เซน่อล อาจจะพลาดแชมป์ในบั้นปลาย ซึ่ง เวนเกอร์ ก็รู้สึกเป็นกังวลเช่นกัน โดยเจ้าตัวมองว่าฤดูกาลถัดๆ ไปคงยากแล้วที่ "เดอะ กันเนอร์ส" จะได้แชมป์ เพราะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี ที่ฟอร์มหลุดในฤดูกาลนี้ น่าจะกลับมาได้

ทั้งนี้ อาร์เซน่อล มีโปรแกรมสำคัญที่จะต้องเปิดบ้านดวลกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์นี้

"คุณจะได้แชมป์ ก็ต่อเมื่อคุณสามารถเป็นแชมป์ ส่วนเรื่องอื่นๆ คุณอย่าไปแคร์อะไรมาก เมื่อคุณได้แชมป์ ก็ปล่อยให้คนอื่นพูดไป" ตำนานกุนซือชาวฝรั่งเศสวัย 73 ปี กล่าวกับ บีอิน สปอร์ตส์ "ผมเห็นด้วยนะ ที่บอกว่าสถานการณ์ในฤดูกาลหน้า มันอาจจะไม่เอื้อแบบในฤดูกาลนี้ ดังนั้นก็ไม่ควรพลาดโอกาสทองครั้งนี้ ตอนนี้ อาร์เซน่อล เก็บไปแล้ว 51 คะแนน หลังลงแข่ง 21 นัด ซึ่งมันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก"

"ผมมองว่า ซิตี้ เป็นเพียงทีมเดียวที่อันตราย ซึ่งแม้แต่ ซิตี้ เอง ตอนนี้ก็ไม่ได้เจ๋งเหมือนในฤดูกาลที่แล้ว หรือสองฤดูกาลก่อน ผมมีความรู้สึกมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นฤดูกาลแล้วว่า ซิตี้ มีจุดอ่อนในเกมรับมากกว่าเมื่อก่อน"

ฌอน ไดช์ ผู้จัดการทีม เอฟเวอร์ตัน ระบุว่าเป็นเรื่องที่ทำใจได้แม้จะพาทีมบุกมาแพ้ ลิเวอร์พูล 2-0 ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันจันทร์ที่ 13 ก.พ.เนื่องจากทีม ท๊อฟฟี่ เก็บได้สามแต้มจากสองเกมที่ยากลำบาก

ไดช์ เปิดปากหลังจบเกมดาร์บี้แมตช์ว่าสามารถยอมรับได้แม้ เอฟเวอร์ตัน ไม่อาจสร้างผลงานช็อกวงการเหมือนเกมก่อนหน้านี้ที่พิชิต อาร์เซน่อล ทีมจ่าฝูงได้ 1-0 เนื่องจากการคุมทีมคว้าสามแต้มได้จากสองเกมแรกของเขาสร้างความตกตะลึงให้กับใครต่อใครได้มากพอสมควร

"เกมไม่ได้ถูกกำหนดจากจังหวะเดียว แต่มันเป็นจังหวะที่สำคัญอย่างเห็นได้ชัด เราต้องเล่นให้เยือกเย็นกว่านี้ พวกเขาเหนือกว่าเล็กน้อยแม้จะไม่ได้มีโอกาสที่จะแจ้งมากมายนัก"

"เรามีรูปเกมที่ดี พวกเขาได้ครองบอลมากก็จริง แต่คุณสามารถสร้างปัญหาได้จากลูกเซ็ตพีซ คุณต้องการเล่นเกมของคุณ มันน่าผิดหวังที่ถูกโต้กลับ และ จอร์แดน พิคฟอร์ด อ่านจังหวะพลาด มันเป็นเรื่องราวของครึ่งแรก"

"พวกเขาเล่นงานเราด้วยการครองบอล และบางทีเราต้องใช้การทำฟาวล์เพื่อตัดเกม เรายังทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเยอะ ผมมั่นใจ และขั้นตอนต่อไปคือการเล่นกับลูกบอลด้วยความกล้าหาญ"

"เรามอบข้อมูลให้นักเตะมากมาย และมันอาจมากไป เรายังต้องทำงานกันต่อ สัปดาห์ก่อนเราชนะ อาร์เซน่อล แต่ผมไม่ลิงโลด เราต้องใช้ความพยายามในการทำงาน มันยังมีความยากลำบาก แต่ ลิเวอร์พูล เป็นทีมชั้นยอด"

"ทุกเกมมีความสำคัญ มันยุติธรรมดีที่ผู้คนสงสัยว่าเราจะได้สักแต้มมั้ยในสองเกมแรกกับ อาร์เซน่อล และ ลิเวอร์พูล เราได้สามแต้ม ผมไม่ผิดหวัง ผมมองถึงความเป็นจริง และผมรู้ว่า พรีเมียร์ลีก มีความยากลำบาก"

"เรามีแฟนบอลที่น่าทึ่งใน กูดิสัน พาร์ค และเราต้องการแฟนของเราในเกมเยือนเช่นกัน เราต้องการความกล้าหาญทั้งในบ้านและนอกบ้านจากแฟนบอลและพละกำลังของพวกเขา"

ไดช์ ตบท้ายถึงการส่ง เอลลิส ซิมม์ส กองหน้าวัย 22 ปีออกสตาร์ตเนื่องจาก โดมินิค คัลเวิร์ต ลูวิน เจ็บจากเกมชนะทีม ปืนใหญ่ ว่า "มันเป็นเกมที่เขาจะได้พัฒนา มันเป็นการเลือกที่ยากเพราะ นีล โมเปย์ มีประสบการณ์ แต่เขาเป็นนักเตะหนุ่ม และเขากำลังเรียนรู้"

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมสมองเพชรของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอมรับ เออร์ลิง ฮาลันด์ กองหน้าฟอร์มฮอต ยังต้องลุ้นว่าจะได้ลงสนามเกมเยือน อาร์เซน่อล ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กลางสัปดาห์นี้หรือไม่ หลังได้รับบาดเจ็บในแมตช์ที่ทัพ "เรือใบสีฟ้า" ทุบ แอสตัน วิลล่า 3-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา

หัวหอกทีมชาตินอร์เวย์ ซึ่งตะบันไปแล้ว 31 ประตูนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ ช่วงซัมเมอร์ล่าสุด ได้รับบาดเจ็บที่ต้นขาหลังเข้าปะทะกับ เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ นายทวาร "สิงห์ผงาด" ช่วงต้นเกมแต่ก็ฝืนเล่นจนจบครึ่งแรก ก่อนจะโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง

จากคำถามของสื่อที่ว่า ฮาลันด์ มีโอกาสที่จะฟิตทันลงสนามปะทะจ่าฝูงในแมตช์สำคัญที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ในวันพุธที่ 15 ก.พ. ได้หรือไม่ โดย กวาร์ดิโอล่า กล่าวว่า "บอกตามตรงตอนนี้ผมไม่รู้จริงๆ เราคงจะต้องรอดูอาการในอีก 2-3 วันข้างหน้านี้"

"เขาได้รับบาดเจ็บ และอาการไม่ค่อยดี ดังนั้นเมื่อเราขึ้นนำ 3-0 เราจึงไม่อยากเสี่ยงกับเรื่องนี้ เราจะทำการประเมินอาการของเขา และถ้าเขาไม่พร้อมเราจะส่งคนอื่นลงเล่น หวังว่าเขาจะพร้อมนะ"

สำหรับในแมตช์พบ อาร์เซน่อล นั้น แม้พวกเขาจะเก็บได้แค่ 1 แต้มจาก 2 เกมหลังสุด แต่ "เดอะ กันเนอร์ส" ยังคงมีคะแนนนำ แมนฯ ซิตี้ 3 แต้ม และแข่งน้อยกว่าด้วย

"อาร์เซน่อล แข่งน้อยกว่า เราจะรอดูหลังจากเล่นครบทุกเกมตอนที่ พรีเมียร์ลีก จบลง แต่เราเตรียมบุก ลอนดอน เพื่อพยายามคว้าชัยชนะให้ได้ เมื่อมี 1 ทีมเก็บได้ 50 คะแนนในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก มันเป็นเพราะพวกเขาทำผลงานได้อย่างสุดยอด เราลดช่องว่างลงมาได้สำเร็จในวันนี้ เพราะฟอร์มของทีมยอดเยี่ยมจริงๆ"