Loader

ยกแรกเรือกับเรอัล! เกมรับเป็นเหตุมีถึง7ประตู!

เริ่มโดย สปอร์ตใจดี, เม.ย 28, 2022, 12:38 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป


เกมแรกระหว่าง "คิง ออฟ ยุโรป" แชมป์ 13 สมัยกับ "เต็งแชมป์" แมนฯซิตี้ ผ่านไปแล้วด้วยความสนุกระดับห้าดาว 4-3 ด้วยชัยชนะของแมนฯซิตี้ ที่ไม่น่าจะเฉือน จากโอกาสที่พวกเขามีมากกว่าเรอัล มาดริด แต่นี่แหละ...บอลระดับสโมสรยุโรป ถ้าไม่เฉียบขาดคุณอาจโดนลงโทษ
เกมนี้ลูกทีมเป๊ป โดนลงโทษเพราะคุณภาพการจบสกอร์ที่ฟุ่มเฟือยของตัวเอง

มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง...ใครพลาดชมเกมห้าดาว ผมสรุปให้เห็นภาพชัดเจนครับ

แทกติกสองโค้ช



    เป๊ป ; เจอปัญหา กานเซโล โดนแบน ไคล์ วอล์คเกอร์​ไม่พร้อมลงสนาม จอห์น สโตน ฟิต 80% แต่ทีมไม่มีแบ๊กขวา เป๊ป ตัดสินใจเสี่ยงส่ง จอห์น สโตน ลงเล่นเพื่อให้แบ๊กโฟร์ได้ครบ รูเบน-ลาปอร์ก และแบ๊กซ้าย ชินเซนโก ส่วนแดนกลางนั้น โรดริโก, เควิน เดอ บรอยน์ กับ แบร์นาโด ซิลวา  ตัวรุกสามคนเกมนี้เขาจับ เชซุส ยืนหน้าเป้า มาห์เรสทางขวา และ โฟเดน ทางซ้าย

    ไม่กี่เกมปีนี้ที่ เชซุส ได้เล่นตำแหน่งที่เขาถนัดคือศูนย์หน้า

    อันเชลอตติ ; ใส่ชื่อ กาเซมิโร สำรอง ลงตัวจริงไม่ได้ ก็ต้องเป็น โทนี โครส, ลูกา โมดริช และ บัลเบรเด ส่วนแบ๊กโฟร์ ทางซ้าย เมนดี, มิลิตาว, อลาบา ที่ตอนแรกมีข่าวว่าไม่น่าจะลงได้ แต่สุดท้ายก็มีชื่อลงสนาม แบ๊กขวาก็ คาร์บาฆาล ตัวทำข้างหน้าขาประจำ เบนเซมา นำน้องๆ โรดริโกทางขวาและ วินิซิอุส จูเนียร์ ที่ฟอร์มปีนี้เข้าฝักทางซ้าย

    เกมนี้สนุกตั้งแต่เขี่ยบอลไม่ถึง 100 วินาที.....



1 ราชันโดนเพรสเสียบอล...จึงเสียประตู

    93 วินาทีแรกเท่านั้นเอง จังหวะแมนฯซิตี้ขึ้นมาเพรสแดนบนทันที ขุนพลเรอัล มาดริด พยายามเอาตัวรอด แต่ไม่รอดเสียบอลถึง มาห์เรส ที่ตัดเข้าในแล้วเห็น เดอ บรอยน์ ออกตัว เขาครอสเข้าเขตโทษบอลลอยข้าม มิลิตาวไปยังจุดนัดพบ คาร์บาฆาล มาไม่ทัน ปฏิกริยาช้า พอจะชิงเหลี่ยมสกัดก่อนก็ไม่ทัน เดอ บรอยน์ พุ่งโขกผ่านมือเพื่อนร่วมทีมชาติสบายๆ 1-0

2 ราชันพลาดที่สองโดนลงโทษ

    ยังไม่ได้ได้ตั้งหลักอะไรมาก แมนฯซิตี้ เพรสแดนบนได้ดี ทำให้เรอัล มาดริด ออกบอลไม่ค่อยได้ เสียบอลบ่อย จนเสียลูกสองเร็ว จังหวะ โฟเดน ไหลบอลให้ เดอ บรอยน์ จ่ายเข้าเขตโทษ เชซุส ชิงเหลี่ยมบัง ขณะที่ อลาบาเสียเชิง เพราะพยายามจะตัดบอล ทำให้ เชซุส พลิกบอลได้แล้วยิงเข้าไป 2-0

    นี้คือเชซุส หน้าเป้าที่ เป๊ป ค้นหาแต่ไม่เขาไม่ชอบใช้  ให้ไปเล่นปีกขวา

    ส่วนผู้มาเยือน นี่คือครั้งแรกที่เรอัล มาดริด เสียสองประตูใน 11 นาทีแรกของฟุตบอลช.ป.ล ในประวัติศาสตร์ ...เหลือเชื่อ!

    รอบรองชนะเลิศซะด้วยสิ



3 เรือใบใช้โอกาสเปลือง

    ช่วงนำ 2-0 ใน20 นาทีแรกเรอัล มาดริด ตั้งลำไม่ได้จริงๆ เกมเป็นรองแถมกองหลังเล่นพลาดง่ายๆ เปิดโอกาสให้โดนเรือใบโจมตี น่าจะขึ้นนำ 4-0 แต่ โฟเดน, มาห์เรส ยิงพลาดไปเอง โดยเฉพาะ มาห์เรส นั้นโดน เป๊ป วิ่งออกมาด่าที่ข้างสนาม ไม่ยอมส่งบอลให้ โฟเดน และ เดอ บรอยน์ ที่วาง เลือกยิงด้วยขวาทั้งที่ไม่มีมุม พอลงโทษราชันไม่ได้ก็โดนซะเอง

4 เอแดร์ซอน...ออกบอลพลาด

    พยายามทำให้นิ่งหรือติดประมาท แต่การออกบอลของเขาในการบิลด์อัพขึ้นมานั้นเสียบอลถึง 3-4 ครั้งก่อนเสียประตูตีไข่แตกในครึ่งชั่วโมง จังหวะก่อนหน้านี้พลาดแต่ไม่โดนลงโทษเท่านั้น จนพอพลาดครั้งที่สี่ โดนเลยเมื่อเตะบอลไม่ถึงครึ่งสนามโดนโหม่งสวนกลับมา นำไปสู่การเสียประตูตีไข่แตก



5คาริม...."ปาเนนก้า"

    นีคือรอบรองชนะเลิศสมัยที่ 9 ของ คาริม เบนเซมา เทียบเท่ากับ ชาบี เอร์นานเดส และ เซร์คิโอ รามอส  เกมนี้คือนัดที่ 600 ทุกรายการของ คาริม เบนเซมา ให้เรอัล มาดริด 318 ประตู 140 แอสซิสต์ ก่อนลงสนาม(สถิติoptajose) เขาคือนักเตะที่ไม่ใช่ชาวสเปนคนแรกที่ลงสนามมากขนาดนี้

    ปีนี้ คาริม ทอปฟอร์มจริงๆ ใน ลา ลีกา แชมป์น่าจะนอนมา เขายิงไป 25 ลูก ทุกรายการนี่39 ลูก แถม 11นัดล่าสุดยิงไป 15 ลูก....

    รวมทั้งเกมนี้ที่เขาโชว์ความเป็นยอดดาวยิงระดับโลกที่ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเก่งของเขาจะบอกว่า  most underated player ก็ไม่ผิดครับเมื่อเทียบกับคุณค่า, คุณภาพของเขา เพียงแต่เขาไม่ได้สกอร์เยอะเท่า โรนัลโด และเมสซี แต่คุณค่าของเขากับเรอัล มาดริดนั้น "อนันต์"

    ประตูที่ยิง 2-1 น33 สำคัญอย่างยิ่ง จังหวะพึ่งตั้งลำได้ จากการออกบอลพลาดของ เอแดร์ซอน แล้วบอลมาถึง เมนดี ครอสเข้าเขตโทษข้ามหัวลาปอร์ก เข้าช่องว่างที่ ซินเชนโก เข้ามาซ้อนไม่ทัน เบนเซมา โฉบเข้ามาตวัดยิงกระดอนพื้นเสียบตาข่าย....เด็ดขาดมาก ยิงครั้งแรกก็ได้ประตู

    ลูกนี้คือประตูที่13 ในช.ป.ล ปีนี้เท่ากับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ 

    จากนั้นครึ่งหลัง น. 82 เบนเซมาได้ ยิงจุดโทษเพราะ ลาปอร์ก โหม่งบอลไม่โดน แต่บอลลอยไปโดนแขนที่กางออกมาพอดี ผู้ตัดสินจึงชี้จุดโทษ (วีเออาร์ก็ยืนยันตามนั้น)
   
เบนเซมา...วิ่งเข้าไปโชว์การยิงแบบ"ปาเนนก้า" ชิพเข้าประตูหลอก เอแดร์ซอน นาทีที่80  อย่างเหนือชั้น อันเป็นประตูสำคัญของเรอัล มาดริด ในเกมนี้ เพราะมันคือประตูที่ไล่มา 4-3 และเป็นประตูที่ 14 ในช.ป.ล

6 ไม่ฟิตอย่าฝืน...

    ทั้งแมนฯซิตี้ และ เรอัล มาดริด ส่งนักเตะที่ฟิตไม่ถึง 100% ลงสนาม

    เรือใบนั้นมี จอห์น สโตน ที่ไม่พร้อมลงเล่นแบ๊กขวา เพราะไม่มีใครยืนแล้ว ความฟิตแค่ 80%  เล่นไปได้ 35 นาทีก็ต้องถอดออกเพราะเจอ วินิซิอุส พาทัวร์ ไม่ไหว ต้องส่ง แฟร์นานดินโญ แทนในตำแหน่งแบ๊กขวา ช่วงก่อนหมดครึ่งแรก 10 นาที

    ส่วนเรอัล มาดริด นั้นก็คือ ดาวิด อลาบา นั่นเองเล่นไปครึ่งแรกเท่านั้น ครึ่งหลัง อันเชลอตติ เปลี่ยนเอา นาโช กอนซาเลส ลงมายืนแทน



7เกมรับแย่ทั้งคู่

    ทีมเยือนมีปัญหากับลูกโด่ง อลัน เชียเรอร์ วิเคราะห์ทางบีบีซีว่า จุดอ่อนของเรอัล มาดริด คือการป้องกันลูกครอสจากด้านข้างเข้าไป เขาเชื่อว่า ซิตี จะโจมตีจากจุดนี้ในครึ่งหลัง ซึ่งประตู 3-1 มาจากลูกครอสด้านขวา เมื่อ วินิซิอุส พลาด บอลถึง แฟร์นานดินโญ หลุดเข้ามาเปิดข้ามกองหลังมาถึง โฟเดน ตั้งหัวโขกโล่งๆ คนเดียวตุงตาข่าย น. 53 ทว่าอีกสองนาทีต่อมา เกมรับแมนฯซิตี้ ก็พลาดเช่นกันโดนตีตื้นมา 3-2

8 วินิซิอุสโชว์...

    สองนาทีหลังจากโดนเรือใบนำ 3-1 และในจังหวะ ไฮไลน์ ดีเฟ้นส์ ของแมนฯซิตี ที่ดันขึ้นไปเพรสแดนบน บอลหลุดริมเส้นฝั่ง วินิซิอุส พลิกหนีบอลลอดขาแฟร์นานดินโญ ที่เข้าพรวด ตรงครึ่งสนาม ก่อน วินิซิอุส ใช้ความเร็วพาบอลกว่า 50 หลาทะลุเข้าถึงเขตโทษแล้วยิงสวน เอแดร์ซอน เข้าไปง่ายด่าย 3-2



9 อันเชลอตติปรับแทกติก

    ช่วงตาม 3-2 เขาถอด โรดริโก ออกส่ง กามาวิงกา ลงมาเล่นกลางคู่ โทนี โครส ดัน โมดริช ไปยืนหน้าต่ำ ขยับ บัลเบรเด เป็นมิดฟิลด์ด้านขวาเพื่อช่วยเกมรับทางฝั่ง คาร์บาฆาล เพื่อทำให้แดนกลางนั้นแน่นขึ้น

10 ไหวพริบ...แบร์นาโด ซิลวา

    น.73 จังหวะ โทนี โครส ทำฟาวล์ ซินเชนโก ร่วงหน้าเขตโทษ แต่ผู้ตัดสิน อิสวาน โควัคส์ ปล่อยให้ได้เปรียบ เพราะ แบร์นาโด ซิลวา ได้บอล ก่อนเขาจับบอลเข้าเขตโทษแล้วสับไกยิงอย่างรวดเร็วเข้าเสาแรกชนิด กูร์กตัวส์ นะจังงัง แมนฯซิตี ขึ้นนำ 4-2

11 ซิตี้...ฟุ่มเฟือยเกิน

    อย่างไรก็ตาม....เกมนี้ถ้าเทียบโอกาสจบสกอร์แล้วนั้น...แมนฯซิตี สมควรชนะมากกว่า 4 ลูก พวกเขาใช้โอกาสเปลืองไปเองในการจบสกอร์ ที่มีจังหวะจะๆ มากกว่าเรอัล มาดริด ในทุกสถานการณ์ จาก 2-0 ควรเป็น 4-0 กลายเป็น 2-1 นำ 3-1 โดนไล่ 3-2 นำ 4-2 โดนไล่ 4-3

    เกมนี้ได้ยิงทั้งสิ้น 18 ครั้งเข้ากรอบ 6 ครั้ง มี "โอกาสทอง" 6 ครั้งได้ สี่ประตู

    นั่นทำให้นัดที่สองที่ ซานติอาโก เบรนาเบว ยังเป็นงานที่ต้องเหนื่อยกับสกอร์ที่นำแค่ลูกเดียว....

    บทสรุปเกมนี้.... "เกมรับ" ทั้งสองทีมหลวมทั้งคู่ นั่นอาจเป็นเพราะแนวรุกสองฝั่งจัดจ้าน คุณภาพ ทำให้โซนรับแตกกระเจิง แมนฯซิตี ก็ใช่ย่อย มีพื้นที่ว่างให้เรอัล มาดริด โจมตีเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับกองหลังเรอัล ป้องกันลูกกลางอากาศไม่ดี แถมยังยืนตำแหน่งกันผิดพลาดในสามสี่ประตูที่เสีย แถมเอาตัวรอดไม่โดนยิงมากกว่า 4 ลูกเพราะการจบสกอร์ซิตี้ ไม่คมเอง

    ถามว่านัดสองใครจะชนะ....

    ตอบได้ว่า "การยิงประตู" ใครคมและเด็ดขาดกว่า ทีมนั้นจะเข้าชิงชนะเลิศ