Loader

เกมรุกดวลเกมรับ ! วิเคราะห์ 5 ข้อก่อน ลิเวอร์พูล ปะทะ บียาร์เรอัล

เริ่มโดย สปอร์ตใจดี, เม.ย 28, 2022, 12:36 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป


เจอร์เก้น คล็อปป์ มีภารกิจสำคัญในการนำลูกทีมปะทะ บียาร์เรอัล ในรอบตัดเชือก ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดแรกที่สนามแอนฟิลด์ วันพุธที่ 27 เมษายนนี้ โดย "เรือดำน้ำสีเหลือง" ผลงานไม่ธรรมดาได้รับฉายาแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ หลังปราบ ยูเวนตุส และ บาเยิร์น มิวนิค มาแล้วก่อนหน้านี้ ขณะที่ "หงส์แดง" ช่วงนี้ต้องลงสนามสามวันเกม และต้องใส่เต็มแมตช์ทุกนัด ทำให้พวกเขาค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกาย แต่ถือว่าโชคดีที่แมตช์นี้ลงเล่นในบ้านตัวเอง ทำให้ไม่ต้องเหนื่อยในการเดินทาง

1. ขุมกำลังเจ้าบ้านแน่นเปรี๊ยะ



    ตอนนี้คงจะไม่ผิดหากจะบอกว่าขุมกำลังของ ลิเวอร์พูล ค่อนข้างจะสมบรูณ์สุดๆ โดยมีแค่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่พร้อมสำหรับเกมรับมือบียาร์เรอัล วันพุธนี้

    ฉะนั้นเมื่อเหลือบไปดูทุกตำแหน่งของ "เดอะ เร้ดส์" ต้องยอมรับว่าพวกเขาพร้อมสุดขีด โดยเฉพาะในเรื่องเกมรุก คล็อปป์มีตัวเลือกให้หยิบจับใช้สอยได้แบบสบายอุรา สามารถส่งใครลงสนามก็ได้ไม่ว่าจะเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่, หลุยส์ ดิอาซ และ ดีโอโก้ โชต้า

    แน่นอนว่าสองตัวเลือกหลักในแดนหน้าที่อยู่ในใจนายใหญ่หน้าเปื้อนยิ้มก็คือ มาเน่ กับ "บังโม" ส่วนอีกรายหากมองจากฟอร์มในเวลานี้ ดิอาซ มีภาษีเหนือกว่า โชต้า แต่ก็ไม่แน่ว่าปีกจอมพลิ้วจะได้ลงตัวจริง !

    เหตุผลเพราะ คล็อปป์ อาจจะเลือกใช้เขาเป็นทีเด็ดในการเจาะเกมรับทีมเยือน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาเล่นด้วยระบบเน้นตั้งรับเหนียวแน่น ลองนึกภาพเกมกับ เอฟเวอร์ตัน ครึ่งแรกทีมเล่นไม่ออกเมื่อเจอการตั้งรับลึก แต่พอ ดิอาซ ลงสนามทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ทีมสร้างโอกาสในการทำประตูได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    กระนั้นไม่ว่า ดิอาซ จะลงเล่นเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง เชื่อว่าสามารถที่จะสร้างความแตกต่างในแนวรุกของเจ้าบ้านได้ชัวร์ เพราะด้วยทักษะ, ความสามารถเฉพาะตัว และความเร็ว คงทำให้แผงหลัง บียาร์เรอัล ต้องกางตำราหลายเล่มในการรับชัวร์

2. จับตาคีย์แมนบียาร์เรอัล



    แม้ว่า บียาร์เรอัล จะมีปัญหาใหญ่นั่นก็คืออาการบาดเจ็บของ เคราร์ด โมเรโน่ กองหน้าตัวเก่ง ที่หมดสิทธิ์ลงเล่นเกมแรก แต่จากผลการสแกนมีความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมาช่วยทีมในเกม 2 ที่เล่นในบ้านตัวเอง

    ถึงจะขาดหัวหอกคนสำคัญไปแต่แนวรุกของทีมเยือนก็ยังถือว่าอันตราย โดยเฉพาะผลงานของ อาร์เนาต์ ดันยูม่า ปีกเลือดดัตช์ ที่ซัดไป 10 ประตูจากการเล่นเกมลา ลีกา ซีซั่นแรกของเขา และผลงานในแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เฉิดฉายมาตลอดตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนถึงตอนนี้

    ส่วนอีกรายก็คือ โจวานี่ โล เซลโซ่ ที่เพิ่งย้ายจาก สเปอร์ส มาเล่นแบบยืมตัวกับทีมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผลงานก็โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยกลายเป็นตัวหลักในแผงกองกลางของทีมไปเรียบร้อยแล้ว

    ขณะที่เกมรับต้องบอกว่าเหนียวแน่นเหลือเกินทั้ง เปา ตอร์เรส และ ราอูล อัลบิโอล เล่นกันได้อย่างเข้าขา โดยเฉพาะในเกมนัด 2 ที่นครมิวนิค พวกเขาจัดการเกมรุกของ บาเยิร์น มิวนิค ได้อยู่หมัด

    "เรือดำน้ำสีเหลือง" คงใช้แผนการเล่นเหมือนที่พบกับ ยูเว่ และ "เสือใต้" นั่นก็คือการเน้นรับเหนียวแน่น และอาศัยจังหวะสวนกลับที่วูบวามจัดการกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ "หงส์แดง" ต้องทำการบ้านให้ดีในการรับมือกับจุดแข็งของทีมเยือน

3. โกนาเต้ ลุ้นลงตัวจริงหลังผลงานเด่นเกมยุโรป



    ในแมตช์นี้ คล็อปป์ อาจจำเป็นต้องใช้การโรเตชั่นในแนวรับอีกครั้ง หลัง โฌแอล มาติป เพิ่งกรำศึกหนักในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา งานนี้คงเป็นโอกาสของ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ที่จะได้ลงจับคู่เซนเตอร์แบ็กกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์

    ต้องยอมรับว่า "หงส์แดง" คงไม่สามารถพัก ฟาน ไดค์ ในเกมนี้ เพราะจากประสบการณ์ในแมตช์ที่พบกับ เบนฟิก้า นัด 2 ที่แอนฟิลด์ การไม่มีปราการหลังชาวดัตช์คอยทำหน้าที่ควบคุมเกมรับ เห็นได้ชัดเจนว่าแผงหลังของทีมรวนไปหมด โดยเฉพาะการเช็คล้ำหน้าที่ผิดพลาดบ่อยมาก จนนำไปสู่การเสียถึง 3 ประตู

    ขณะที่ โกนาเต้ ดูเหมือนว่าจะถูกโฉลกในการเล่นฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรป เพราะก่อนหน้าในในการพบกับ เบนฟิก้า 2 แมตช์เจ้าตัวเป็นคนโหม่งประตูให้ทีมขึ้นนำทั้งสองเกม ซึ่งทำให้ ดาวเตะร่างยักษ์เลือดเฟร้นช์ กลายเป็นนักเตะคนที่ 4 ของสโมสรที่ทำประตูแรกจากการลงเล่นทั้งนัดเหย้า-เยือนฟุตบอลถ้วยยุโรป

    สำหรับในเกมนัดตัดเชือกกับ บียาร์เรอัล ถ้า กองหลังวัย 22 ปี สามารถทำประตูได้ นั่นจะทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในหน้าประวัติศาสตร์ "หงส์แดง" ที่ยิงได้ 3 ประตูติดต่อกันในเกมฟุตบอลถ้วยยุโรป
 
4. บียารเรอัล-อูไนไม่ธรรมดา



    คล็อปป์ รู้สึกถึงความเก่จฉกาจของ อูไน เอเมรี่ ได้เป็นอย่างดีเพราะเขาเคยนำทัพ "เดอะ เร้ดส์" น้ำตาร่วงมาแล้วในเกมนัดชิง ยูโรปา ลีก  เมื่อปี 2016 ซึ่งในเวลานั้น กุนซือชาวสแปนิช กุมบังเหียนเซบีย่า นอกจากนี้ อูไนคนดีคนเดิม ก็เพิ่งจะนำ บียาร์เรอัล ดับว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นัดชิงถ้วยใบเล็กยุโรปเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาด้วย

    แน่นอนว่าประสบการณ์ในเกมฟุตบอลถ้วยยุโรปของ อูไน ไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะในรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก "เรือดำน้ำสีเหลือง" สู้กับ "ปีศาจแดง" ได้อย่างสูสี ขณะที่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และรอบก่อนรองชนะเลิศ ก็หักปากกาเซียนด้วยการคว่ำ ยูเวนตุส กับ บาเยิร์น มิวนิค ตามลำดับ

    นอกจากนี้ เอเมรี่ เคยได้ลิ้มรสเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีสมัยคุม อาร์เซนอล ฉะนั้นเขาค่อนข้างจะรู้ตื้นลึกหนาบางในการสู้กับสโมสรจากประเทศอังกฤษ และ ลิเวอร์พูล ห้ามประมาทอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นชะตากรรมอาจจะเหมือนกับ 2 ยักษ์ใหญ่ก่อนหน้านี้

    ทั้งนี้ กุนซือเลือดกระทิงดุ วัย 50 ปี ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของฟุตบอลถ้วยยูโรปา ลีก โดยนำ เซบีย่า คว้าแชมป์รายการนี้ 3 สมัยติดต่อกัน ( 2013/2014, 2014/2015, 2015/2016) และนำ บียาร์เรอัล คว้าแชมป์ 1 สมัย (2020/2021) แถมเกือบนำ อาร์เซน่อล ได้แชมป์ด้วย (รองแชมป์ซีซั่น 2018/2019) โปรไฟล์ระดับแชมป์ขนาดนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ คล็อปป์ ซูฮกยกย่องโค้ชคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ
 
5. แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร



    ต้องยอมรับเลยว่าเดือนเมษายนถือเป็นเดือนแห่งความหฤโหดสำหรับโปรแกรมของ ลิเวอร์พูล พกวเขาต้องลงสนาม 3 วันต่อเกมมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดก็ต้องใส่เต็มแมตช์ทั้งปะทะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมเอฟเอ คัพ ตามเกมพรีเมียร์ลีก "แดงเดือด" กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ "เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์" ดวล เอฟเวอร์ตัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลา 9 วันเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ แอนด์โค. สามารถผ่านด่านความยากลำบากมาได้หมด และพวกเขาก็เพิ่งได้พักแค่สามวันก็ต้องเจอกับ บียาร์เรอัล จากนั้นวันที่ 30 เม.ย. ก็ต้องไปเยือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด  ฉะนั้นในช่วงเดือนนี้ถือเป็นงานหินของ "หงส์แดง" อย่างแท้จริง

    กระนั้นพอดูโปรแกรมในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่จะตัดสินว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ก็ถือเป็นช่วงโหดเช่นกันเพราะทีมต้องลงสนามเล่นแบบถี่ยิบทุกสัปดาห์

    ข้อดีของ ลิเวอร์พูล ในเวลานี้ก็คือนักเตะคีย์แมนไม่มีใครบาดเจ็บเลย ฉะนั้นหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้แม้จะมีโปรแกรมเตะถี่ยิบก็ตาม พวกเขาก็น่าจะรับมือได้อย่างสบายๆ

Similar topics (5)