Loader

ศึกครั้งนี้ต้องมีผู้ชนะ! 5 ประเด็นก่อนบิ๊กแมตช์ ลิเวอร์พูล พบ แมนซิตี้ เกมเอฟเอค

เริ่มโดย สปอร์ตใจดี, เม.ย 17, 2022, 11:28 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป


ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีคิวจะได้วัดฝีเกือกกันอีกเกมในศึก เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ วันเสาร์ที่ 16 เมษายนนี้ โดย 2 เกมลีกที่ผ่านมาพวกเขายังกินกันไม่ลง เสมอกันไปสุดมันทั้งสองแมตช์ อย่างไรก็ตามในเกมนี้จะต้องมีทีมใดทีมหนึ่งที่ต้องพบกับความพ่ายแพ้แน่นอน ส่วนจะเป็นทีมไหนเดี๋ยวก็ได้รู้กัน แต่ที่แน่ๆ ทั้ง "หงส์แดง" และ "เรือใบสีฟ้า" ถ้าทีมใดชนะ โครงการที่จะสร้างประวัติศาสตร์ในวงการลูกหนังจะสดใสมากยิ่งขึ้น

1. ศึกครั้งนี้ต้องมีทีมเสียน้ำตา



      ลิเวอร์พูล ปะทะกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ หลังจากที่ทั้ง 2 เกมลีกพวกเขาทำได้เพียงเสมอกันด้วยสกอร์ 2-2 ทั้งสองแมตช์ อย่างไรก็ตามในเกมเอฟเอ คัพ ที่พวกเขาจะฟาดฟันกันในวันเสาร์นี้จะต้องมีฝ่ายหนึ่งยิ้มระรื่น ส่วนอีกฝ่ายน้ำตาริน

      ฟอร์มของ "หงส์แดง" กับ "เรือใบสีฟ้า" ต้องบอกว่าไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก เพราะพวกเขาสร้างมาตรฐานการเล่นเอาไว้สูงมาก และด้วยฟอร์มในเวลานี้ต้องบอกว่าสูสีกันสุดๆ ฉะนั้นการจะคาดเดาว่าใครจะชนะเป็นเรื่องที่ยากลำบากจริงๆ

      เกมล่าสุด ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยได้ออกแรงมากนักในการรับมือกับ เบนฟิก้า เพราะพวกเขาได้เล่นในแอนฟิลด์ แม้สกอร์จะเสมอกัน 3-3 แต่ "เดอะ เร้ดส์" มีโอกาสได้พักตัวผู้เล่นหลัก ทำให้แข้งสำคัญได้พักร่างกายอย่างเต็มที่ และพร้อมที่จะปะทะกับ แมนฯ ซิตี้

      ขณะที่ลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า นอกจากจะออกไปเยือน แอตเลติโก มาดริด แล้ว พวกเขายังเจอเจ้าบ้านเล่นเกมหนักใส่จนทำให้นักเตะตัวหลักหลายคนมีอาการล้า และอาจส่งผลกระทบในแมตช์ที่เวมบลีย์วันเสาร์นี้

 
2. คีย์แมนหลักได้พักร่างกายเต็มที่



     อย่างที่เกริ่นเอาไว้ตอนแรกว่า คล็อปป์ มีโอกาสเปลี่ยนแปลงผู้เล่นถึง 7 คนในเกมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทำให้เขาได้พักผู้เล่นคีย์แมนเอาไว้ และนั่นหมายความว่านักเตะเหล่านั้นมีโอกาสได้ชาร์จพลังเต็มที่

     เหตุผลสำคัญที่ นายใหญ่ชาวเยอรมัน ทำแบบนี้เนื่องจาก "เดอะ เร้ดส์" ต้องเจองานหนักในการปะทะกับ แมนฯ ซิตี้ อีกรอบหลังเกมล่าสุดพวกเขายังไม่สามารถหาผลแพ้ชนะได้ แต่ครั้งนี้จะได้บทสรุปแน่นอน

     สำหรับ "หงส์แดง" ค่อนข้างได้เปรียบตรงที่ไม่ได้เดินทางไปเล่นเกมฟุตบอลถ้วยยุโรปแถมนักเตะอย่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ได้มีโอกาสพักฟื้นร่างกาย

     ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ แม้จะลงเล่นในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายในเกมเสมอ เบนฟิก้า แต่ก็ไม่ได้ต้องใช้พลังงานมากมายอะไร และการได้ลงสนามในเกมดังกล่าว น่าจะเป็นการยืดเส้นยืดสายก่อนจะเจอกับศึกหนัก

 3. ลุ้น เดอ บรอยน์ ฟิตทันปะทะ "หงส์แดง"



     สำหรับแฟนบอล แมนฯ ซิตี้ ตอนนี้พวกเขาคงเครียดสุดๆ เพราะ เควิน เดอ บรอยน์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ สองผู้เล่นแกนหลัก ได้รับบาดเจ็บในเกมบุกไปเสมอ แอตเลติโก มาดริด 0-0 เมื่อวันพุธที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา

     อาการบาดเจ็บของสองคีย์แมนทำให้สาวก "เรือใบสีฟ้า" ต้องลุ้นหนักว่าพวกเขาจะพร้อมลงสนามในเกมวันเสาร์นี้หรือเปล่า เนื่องจากเวลาในการพักฟื้นค่อนข้างจะน้อย แต่ยังดีที่อาการบาดเจ็บของทั้งคู่ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงมากนัก อาจมีสิทธิ์ที่จะหายทันก็ได้

     เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมว่า เดอ บรอยน์ กับ วอล์คเกอร์ ไม่ได้ลงซ้อมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ยังต้องลุ้นเยี่ยวเหนียวในวันเสาร์ว่าพวกเขาจะพร้อมมากแค่ไหน โดยเฉพาะในรายของ จอมทัพทีมชาติเบลเยียม ที่เจ็บข้อเท้าซึ่งเป็นจุดที่น่าเป็นห่วงพอสมควร

     สำหรับ เดอ บรอยน์ ถือเป็นนักเตะที่มีความสำคัญกับ แมนฯ ซิตี้ อย่างมาก โดยเขาซัดไปแล้ว 6 ประตูจาก 7 เกมที่ผ่านมา ดังนั้นหาก "เรือใบสีฟ้า" ขาดเพลย์เมกเกอร์รายนี้ไป งานนี้บอกเลยว่าเกิดปัญหาใหญ่แน่นอน

4. เอฟเอ คัพศึกที่สองยอดทีมไม่ค่อยได้ดวลกัน



     ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกพอสมควรที่ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสได้ปะทะฝีเกือกในศึกฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเพียงแค่ 6 ครั้งเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับแฟนบอลของพวกเขาการได้เจอกันในยุคนี้เป็นอะไรที่มันสุดขั้วจริงๆ

     ย้อนกลับไปครั้งแรกที่ "หงส์แดง" ดวลกับ "สำเภาทอง" ตอนนั้นเป็นการเจอกันในรอบ 5 เมื่อปี 1956 โดยเป็นฝ่ายของ แมนฯ ซิตี้ ที่ได้เฮในแอนฟิลด์ เมื่อบุกชนะ 2-1 ในเกมนัดรีเพลย์ หลังจากที่เสมอกันแบบไร้สกอร์ที่ เมน โรด (สนามเหย้าเก่าของแมนฯ ซิตี้)

     หลังจากนั้น แมนฯ ซิตี้ ยังชนะในเกมรีเพลย์รอบ 4 เมื่อปี 1973 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะมาเอาคืนบ้างในการบุกถล่ม 4-0 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ปี 1988 ต้องขอบคุณ เรย์ เฮาจ์ตัน, เคร็ก จอห์นสตัน, จอห์น บาร์นส์ และ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์

      "เดอะ เร้ดส์" สามารถปราบพวกเขาได้อีกครั้งในเกมรอบ 5 ด้วยสกอร์ 4-2 เมื่อปี 2001 ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทำให้พวกเขาคว้าทริปเบิลแชมป์ (เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และยูฟ่า คัพ) ตบท้ายในปี 2003 ลิเวอร์พูล บุกชนะ "เรือใบสีฟ้า" 1-0

     สำหรับครั้งนี้ผลออกมาจะเป็นยังไงเดี๋ยวก็ได้รู้กัน !!!

5. เกมหนักรออยู่เพียบ



     ตอนนี้ คล็อปป์ ต้องคิดมากกว่าแค่เกมวันเสาร์นี้ เพราะหลังจบแมตช์กับ แมนฯ ซิตี้ แล้ว พวกเขายังมีโปรแกรมมหาโหดรออยู่โดยเริ่มจากการทำศึก "แดงเดือด" รับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมลีกวันอังคารหน้า ตามด้วยเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ด้วย เอฟเวอร์ตัน วันอาทิตย์ที่ 24 เม.ย.

     จากนั้นก็ต้องพบกับ "เรือดำน้ำสีเหลือง" บียาร์เรอัล ในรอบตัดเชือก ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงปลายเดือนเมษามหาสงกรานต์ ก่อนจะปิดท้ายเดือนแห่งความร้อนระอุด้วยการออกไปเยือน "สาลิกาดง" นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

     สำหรับข้อดีของโปรแกรมโหดส่งท้ายเดือนเมษายนก็คือพวกเขาได้เล่นใน แอนฟิลด์ 3 แมตช์ติดต่อกัน และนี่จะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับ "หงส์แดง" เนื่องจากฟอร์มการเล่นในบ้านของพวกเขาถือว่าสุดยอดอย่างมาก

     หาก คล็อปป์ แอนด์โค. สามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ การที่จะฝันถึงการคว้าแชมป์ 4 รายการในซีซั่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน

Similar topics (5)